ต่อให้ก่อน

ป๋าโทรศัพท์บอกแฟนบอลเร้ด อาร์มี่ ของเมืองไทยว่า “ไม่ต้องเป็นห่วง 5 แต้ม จิ๊บจ๊อยมั่กๆ”
ขณะนี้ฤดูกาลพรีเมียร์ ลีก ก็ได้ผ่านมาถึงนัดที่ 26 แล้ว เหลืออีก 12 นัดเท่านั้น ก็จะสามารถตัดสินแชมป์กันได้แล้วว่า ใครจะเป็นแชมป์พรีเมียร์ ลีก ปีนี้ไปครอง แต่ที่แน่ๆ ณ ปัจจุบันตอนนี้ ทีมปืนใหญ่ อาร์เซน่อล ฉีกหนีออกไปไกลเป็น 5 แต้มเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจาก ชนะทีมกุหลาบไฟ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ได้คาถิ่น เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ไปอย่างหืดจับ 2 ประตู ต่อ 0 และได้ประตูชัยในท้ายเกมประตูที่สองมาจาก ‘บ้ายอ’ เอ็มมานูเอล อะเดบายอร์ ซึ่งทำให้ตอนนี้กองหน้าจาก โตโก มีจำนวนการยิงประตูเท่าเทียมกับ มิดฟิลด์ริมเส้นเจ้าสำอางค์ ที่เสมือนมีปังตอติดอยู่ตรงแข้งสนับตลอดเวลา อย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่ 19 ประตู เท่ากัน

การขาดหมูบินบรรลือโลก ‘รูนี่ย์’ เป็นผลร้ายอย่างยิ่งกับเกม แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้
ย้อนรอยไปนัดเกมดาร์บี้ แมตช์ ของเมืองแมนเชสเตอร์ กันเล็กน้อย สภาพอารมณ์ของแต่ละคนหลังจบเกม ยอมรับว่า ไม่มีใครรู้สึกดีกับเรื่องนี้ เป็นแน่แท้ เพราะเป็นการเสียหมา 2 ครั้งติดต่อกัน ให้กับทีมเรือใบสีฟ้าภายใต้การคุมทีมของ สเวน โกรัน “เถิกขาว” อิริคส์สัน โดยยูไนเต็ด แพ้ทั้งเหย้าทั้งเยือนตลอดเลยในฤดูกาลนี้ ทำให้ต้องเสียแต้มแบบไม่น่าเชื่อถึง 6 คะแนนเต็ม ต้องยอมรับว่า นัดที่เจอกันทั้งสองนัด ทีมกลุ่มโจรสลัด “เถิกขาว” (ออกแนวบ้าวันพีซ) นั้น วางหมากมาได้มาอย่างเยี่ยมยอด (แล้วทำไมไม่เล่นได้แบบนี้ ในนัดเจออาร์เซน่อลบ้าง?) และการขาดน้องหมู รูนี่ย์ ไป ก็ส่งผลกระทบค่อนข้างมาก
และแล้วจนถึงวินาทีนี้ ก็นำ แต่ประวัติศาสตร์ที่ถูกบันทึกไว้ในหนังสือโอปุสของพรีเมียร์ ลีก จารึกไว้ว่า เดือนกุมภาพันธ์นั้น ทุกอย่างยังไม่แน่ไม่นอน เพราะทุกครั้งที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้แชมป์พรีเมียร์ ลีก ส่วนใหญ่ตำแหน่งจะไม่ค่อยจะอยู่กับร่องกับรอย และชอบแอบมาเบียดแย่งแชมป์ตอนท้ายฤดูกาล ถึงแม้ว่าจะไม่มีเหตุการณ์แบบนั้นให้เห็น เหมือนช่วงทศวรรษ 90′ ปลายๆ ก็ตาม แต่เชื่อมั่นได้ว่า เฟอร์กี้จะต้องทำแบบนั้นอีกได้แน่นอน ถึงแม้ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนจากมือถือขนาดกระติกน้ำ มาเป็นพวกฝาสไลด์ และฝาพับขนาดซองใส่แว่นตา ก็ตามเถอะ

“คุณไม่มีวันเป็นแชมป์ด้วย(ไอ้)พวกเด็กน้อยเหล่านี้หรอกนะ” เจ้าของประโยคอมตะ คือคนนี้นี่เอง
เริ่มจากฤดูกาลที่เห็นได้เด่นชัดเช่นปี 1995-1996 หลังจากที่ ยูไนเต็ด ประเดิมนัดแรกด้วยการพ่ายแพ้ วิลล่า ไปด้วยนักเตะชุดผ่าตัดใหม่ หลังจากโละนักเตะออกไปค่อนข้างเยอะ และเมื่อได้ทีก็มีลอบกัดตามประสานักวิจารณ์ โดยคราวนี้ เป็นถึงตำนานของลิเวอร์พูล ที่ได้แชมป์ลีก มากที่สุดถึง 8 สมัย (ก่อนที่จะโดนปีกพ่อมด ทำลายสถิติไปเมื่อเร็วๆ นี้)อย่าง อลัน แฮนเซ่น สะเออะ มาบอกว่า “คุณไม่มีวันที่จะเดินเดียวดาย เอ้ย! ไม่มีวันเป็นแชมป์ลีก ได้เพราะเจ้าพวกเด็กอมมือ พวกนี้หรอก” ซึ่งเขาก็พูดถูกจริงๆ ด้วยแหละ แต่เขาลืมไปว่า มีเอริค คันโตน่า อยู่ทั้งคน!

คีแกน ทำท่าอยากจะหักคอเฟอร์กี้ ให้ได้ เพราะไม่สามารถแย่งแชมป์จากยูไนเต็ด ไปได้เลย
นิวคาสเซิ่ล ในการทำทีมของ เควิน คีแกน นั้น จัดว่า จัดจ้านมากๆ (อย่าไปมองผลงานทีมนิวคาสเซิ่ลตอนนี้นะ) และมีช่วงนึงที่เป็นจ่าฝูงนำห่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปถึง 12 แต้ม แต่ไปๆ มาๆ เดือนเมษายน อ้าว! นิวคาสเซิ่ล ไปไหนละ ปรากฏว่าเด็กๆ ในโอวาส ของป๋าเฟอร์กี้ และคิง เอริค ทะลึ่งทำผลงานดีเกินคาด และถึงขนาดที่ว่า เควิน คีแกน ต้องออกโรงมาด่าป๋าเฟอร์กี้ ทำลายจิตวิทยาไปในตัว แต่ต้องไม่ลืมนะ ว่า วาทะของเอ็งน่ะ ยังห่างจากไดร์เป่าผมของป๋าแพนด้าไปหนึ่งล้านปีโว้ย! ก็เลยกลับมาเป็นแชมป์อย่างมีสไตล์ (อีกแล้ว)
ต่อมา มาดูปีแห่งประวัติศาสตร์กันบ้างดีกว่า ปีที่ผ่านมา (ฤดูกาล 1997-1998) นั้นต้องเสียแชมป์ให้กับอาร์เซน่อลไป ด้วยการเชือดเฉือนกันแค่ 1 คะแนน และคราวนี้ก็ต้องขอเป็นฝ่ายล้างแค้นคืนบ้าง แต่ดันทำเกินไป ล่อทั้งต้นทั้งดอก ด้วยการสอยอาร์เซน่อล ตกรอบรองชนะเลิศ FA CUP และเฉือนชนะสเปอร์ส ในนัดสุดท้ายของฤดูกาล ถึงแม้ว่านัดก่อนหน้านั้น จะเสมอกับลิเวอร์พูล ไปแบบน่าเหลือเชื่อ จากการตัดสินของกรรมการที่ได้รับเกียรติมาจากหมู่บ้านแพนกวิ้น อย่าง เดวิด อาลาเล่ เอ้ย! เออร์เรเล่ย์ ที่ดันทะลึ่งไล่ เดนิส เออร์วิน ออกจากสนามจากการเตะบอลทิ้ง และเป็นแชมป์ด้วยการเชือดเฉือนไปแค่ 1 คะแนน เหมือนกัน พร้อมกับโบนัส ถ้วยยูโรเปี้ยน ที่ คัมป์ นู อีกต่างหาก

ก่อนจะได้ถ้วยนี้มา ก็ต้องฟาดฟันกันในลีก และเอฟเอคัพ กันจนถึงหยดสุดท้าย
คราวนี้มาดูกันที่ ฤดูกาล 1999-2000 ซึ่งเป็นปีทองของโลกเลยก็ว่าได้ ว่าแล้ว ทีม ยูงทอง ลีดส์ ยูไนเต็ด ก็ออกสตาร์ท ทิ้งแมนฯยูฯ แบบไม่เห็นฝุ่นไปก่อน ด้วยผลงานของนักเตะหนุ่มที่เต็มไปด้วยพลังมากมายมหาศาล และไปๆ มาๆ เจ้าของจ่าฝูง อยู่ดีๆ ก็หล่นไปที่ 3 ซะอย่างนั้น และยูไนเต็ด ถึงแม้ว่าจะเป็นรองในช่วงแรก แต่ก็ไล่เก็บแต้มตามมาได้แบบไม่แพ้ใครมาตลอด จนสุดท้าย ถ้วยพรีเมียร์ชิพ ก็ย้อนกลับไปหา อัศวินแพนด้า ที่เพิ่งได้รับมาปีแรกๆ นั่นเอง

เธียร์รี่ อองรี รับสภาพไม่ได้ ที่อาร์เซน่อลเป็นทั้งรองแชมป์จากยูไนเต็ด หลายๆ ฤดูกาล ทั้งๆ ที่มีโอกาส
และล่าสุดที่สถานการณ์เป็นรองก็คือฤดูกาล 2002-2003 ซึ่งตอนนั้น อาร์เซน่อล มีแต้มนำหน้า ยูไนเต็ด ถึง 8 คะแนน และเป็นถึงช่วงเดือน มีนาคม ด้วยอีกต่างหาก! แต่ขอโทษ จากนั้น ยูไนเต็ด ก็ทำสถิติ ไม่แพ้ใครถึง 10 นัดและชนะถึง 9 นัดรวด จนปล่อยให้เดือนพฤษภาคม เหล่ากูนเนอร์สต้องน้ำตาตก เพราะตอนสิ้นสุดฤดูกาลแล้ว ยูไนเต็ด นำห่างอาร์เซน่อลไปถึง 5 แต้ม ทั้งๆ ที่เดือนมีนาคม นำห่างไปตั้ง 8 แต้มแล้วแท้ๆ
ซึ่งแต่ละเหตุการณ์นั้น จะต้องมีอาร์เซน่อล มาคอยเป็นไม้เบื่อไม้เมาตลอดเวลา และเหตุการณ์ในอดีตต่างๆ นาๆ อาจจะช่วยทำให้ใจชื้นได้บ้าง ซึ่งทั้งนี้ก็ต้องติดตามผลงานกันต่อไป ว่ายูไนเต็ด จะสามารถทำได้เหมือนที่ผ่านๆ มาอีกหรือเปล่า เพราะในสถานการณ์บีบคั้น และกดดันแบบนี้ เป็นของถนัดของ แมนฯ ยูไนเต็ด เลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะฤดูกาล 2002-2003 ที่อาร์เซน่อล นำห่างไปก่อนแล้ว 8 แต้มแท้ๆ แต่สุดท้าย แมนยูฯ เป็นแชมป์ ด้วยการนำห่างถึง 5 แต้มด้วยกัน

การส่งป๊ะป๋าแพนด้าไปออกรอบ มักจะเป็นผลดีต่อทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทุกครั้งเสมอ
ตอนนี้ เพิ่งเดือนกุมภาพันธ์ และโดนอาร์เซน่อลนำแห่งเพียงแค่ 5 แต้มเท่านั้น แฟนผีทั้งหลายก็อย่าตื่นตกใจกลัวเสียเลย เพราะประสบการณ์แชมป์พรีเมียร์ ลีก 9 สมัยของเฟอร์กี้ ไม่มีคำว่าง่ายเอาเสียเลย และปีนี้ เผลอๆ อาจจะเป็นแชมป์สมัยที่ 10 ของยูไนเต็ด ปราบอาร์เซน่อลลงได้อีกแล้ว ในยุคอินเตอร์เน็ตไร้สาย แบบมีสไตล์!
ปล. นี่แค่ยกตัวอย่างเหตุการณ์ในอดีต เป็นตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริง และมีโอกาสเป็นไปได้ ไม่ได้ยึดติดกับอดีตอันยาวไกล และแสนนานเหมือนบางทีม (ฮิฮิ)
ManSmith

2001-2024 RED ARMY FANCLUB Official Manchester United Supporters Club of Thailand. #ThaiMUSC

Related Posts

Copyright © 2025 tetudomokei-zanmai. All Right Reserved.